ข้อสอบปลายภาค
คำสั่งข้อสอบมีทั้งหมด 7 ข้อ ให้นักศึกษาทำทุกข้อ
ห้ามลอกกันเขียนคำตอบโดยใช้สำนวนเหมือนกันถือว่ามิใช่ความคิดของนักศึกษาเอง
ปรับให้ตกทั้งคู่ ข้อละ 10 คะแนน
____________________________________________________
1. กฎหมายทั่วไปกับกฎหมายการศึกษา มีที่มาความเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร อธิบายพร้อมทั้ง ยกตัวอย่างประกอบอย่างย่อ ๆ ให้ได้ใจความพอเข้าใจ
ตอบ กฎหมายทั่วไปกับกฎหมายการศึกษา มีที่มาเหมือนกัน
เนื่องจากกฎหมายเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาของวิกฤติการณ์ทางสังคม
กฎหมายทั่วไปมีเพื่อให้สังคมไทยเป็นระเบียบ เรียบร้อย เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรม ต่างๆ ล้วนแล้วแต่ระบุโทษอย่างชัดเจน
หากไม่มีกฎหมายเหล่านี้คนก็จะกระทำสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาสังคมอย่างไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด
และปัญหาของวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจในสังคมไทยนั้น
อันที่จริงก็สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับปัญหาทางการศึกษาเพราะถ้าหากการจัดการศึกษาสามารถนำเอาความรู้และเทคโนโลยีเข้าสู่กระบวนการผลิตด้านอุตสาหกรรมได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ และถ้าหากการศึกษาสามารถพัฒนาทักษะ ฝีมือ ความรู้ ความชำนาญการของแรงงานไทยให้สอดคล้องกับความทันสมัยของเทคโนโลยีในปัจจุบัน และหากการศึกษาสามารถสร้างผู้นำรุ่นใหม่ได้จริง และสร้างความรู้พื้นฐานทางประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ได้ เราก็คงจะได้ผู้นำทางการเมืองที่มีประสบการณ์ความรู้ในการบริหารบ้านเมือง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล คงจะไม่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและทางการเมืองดังที่ประสบอยู่
ประสิทธิภาพ และถ้าหากการศึกษาสามารถพัฒนาทักษะ ฝีมือ ความรู้ ความชำนาญการของแรงงานไทยให้สอดคล้องกับความทันสมัยของเทคโนโลยีในปัจจุบัน และหากการศึกษาสามารถสร้างผู้นำรุ่นใหม่ได้จริง และสร้างความรู้พื้นฐานทางประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ได้ เราก็คงจะได้ผู้นำทางการเมืองที่มีประสบการณ์ความรู้ในการบริหารบ้านเมือง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล คงจะไม่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและทางการเมืองดังที่ประสบอยู่
2. รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการศึกษา มีสาระหลักที่สำคัญอย่างไร ในประเด็นอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ยกตัวอย่างประกอบ พอเข้าใจ (รัฐธรรมนูญตั้งแต่แต่ฉบับแรกถึงปัจจุบัน
(พ.ศ.2550)
ตอบ รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการศึกษา พ.ศ.2540 มีสาระหลักที่สำคัญ คือ การจัดให้บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และ การจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุน ให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรมเพื่อการพัฒนาประเทศ
รัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการศึกษา พ.ศ.2550 มีสาระหลักที่สำคัญ คือ การจัดการศึกษาให้ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ
หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก
ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษาโดยทัดเทียมกับบุคคลอื่น และ จัดการศึกษาอบรม การเรียนการสอน การวิจัย และการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการย่อมได้รับการคุ้มครอง
3. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ มีกี่มาตรา และมีความสำคัญอย่างไร และประเด็นหรือมาตราใดที่ผู้ปกครองต้องปฏิบัติและต้องยึดถือปฏิบัติ
ตอบ พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ มี 20 มาตรา จัดทำขึ้นเพื่อให้บิดา
มารดา
หรือผู้ปกครองมีหน้าที่ส่งเสียให้บุตรหรือบุคคลที่อยู่ในความดูแลได้รับการศึกษาภาคบังคับจำนวน
9 ปี โดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก ได้เรียนหนังสือ เพื่อที่จะให้เด็กได้มีความรู้ติดตัวไป
มาตราที่ผู้ปกครองต้องปฏิบัติและยึดถือปฏิบัติ คือ มาตรา 6 ให้ผู้ปกครองส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา
เมื่อผู้ปกครองร้องขอ
ให้สถานศึกษามีอำนาจผ่อนผันให้เด็กเข้าเรียนก่อนหรือหลังอายุตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับได้ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด และมาตรา 13 ผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 6 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
4. ท่านเข้าใจว่า
หากมีใครเข้ามาปฏิบัติการสอนในโรงเรียนที่เปิดการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรณีสอนทั้งปีที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูนั้น สามารถมาปฏิบัติการสอนได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้มีความผิดหรือบทกำหนดโทษอย่างไร ถ้าได้จะต้องกระทำอย่างไรมิให้ผิด ตามพระราชบัญญัตินี้
ตอบ หากมีใครเข้ามาปฏิบัติการสอนในโรงเรียนที่เปิดการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรณีสอนทั้งปีที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูนั้น สามารถมาปฏิบัติการสอนได้
ในกรณีสอนทั้งปีเช่นนี้หากหมาย
1 ปีการศึกษา ก็จะหมายถึงนักศึกษาวิชาชีพครู ที่ต้องออกปฏิบัติในขั้นของการฝึกสอน นักศึกษาเหล่านี้ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎของมหาลัย
และกฎของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด
แต่ถ้าหากจะหมายถึง บุคคลที่เข้ามาปฏิบัติการสอนในโรงเรียนที่เปิดการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรณีสอนทั้งปีที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูนั้น ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๔๖ กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดแสดงด้วยวิธีใดๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนมีสิทธิ
หรือพร้อมจะประกอบวิชาชีพ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากคุรุสภา และห้ามมิให้สถานศึกษารับผู้ไม่ได้รับใบอนุญาตเข้าประกอบวิชาชีพควบคุมในสถานศึกษา
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคุรุสภา
เนื่องจากเหตุผลและความจำเป็นของสถานศึกษาในการพัฒนาการศึกษา
ซึ่งต้องใช้บุคคลเข้าประกอบวิชาชีพ
เพื่อจัดการเรียนการสอนด้วยเหตุที่ไม่สามารถสรรหาผู้ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเข้ามาดำเนินการสอน
มีมติอนุญาตให้บุคคลเข้าประกอบวิชาชีพครู
โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาต ดังนี้
คุณสมบัติการพิจารณาอนุญาต
ผู้ที่จะขอเข้าประกอบวิชาชีพครู โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
๑. มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี
๒. มีคุณวุฒิตามข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือเทียบเท่า
(๒) มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี ที่ ก.ค.ศ.รับรอง ซึ่งกำหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครู และเป็นวุฒิปริญญาในสาขาที่สอดคล้องกับระดับชั้นที่เข้าสอน ตามที่คุรุสภากำหนด ยกเว้นโรงเรียนในพระราชดำริ
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนโครงการพิเศษต่างๆ
ที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานต้นสังกัด และมีคะแนนเฉลี่ย ๒.๕ ขึ้นไป
โรงเรียนถิ่นทุรกันดาร หรือโรงเรียนเสี่ยงภัย ตามประกาศของทางราชการ
และจัดให้มีการอบรมในเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับการเรียนการสอนเบื้องต้นด้วย
๓. ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๔
แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖
เงื่อนไขการอนุญาต
เงื่อนไขการอนุญาต
๑. สถานศึกษาชี้แจงเหตุผลความจำเป็น หรือความขาดแคลน
ต้องรับบุคคลเข้าประกอบวิชาชีพครู
๒.
สถานศึกษาจะต้องแนบประกาศการรับสมัครและการสรรหาบุคคลเข้าประกอบวิชาชีพครู
๓. สถานศึกษาจะต้องแนบคำสั่งของคณะกรรมการของสถานศึกษาในการคัดเลือกบุคคลเข้าประกอบชาชีพครู
๔. สถานศึกษาต้องขออนุญาตเป็นการเฉพาะราย ผ่านต้นสังกัด โดยจะต้องปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสืออนุญาตเท่านั้น ภายใต้การควบคุมของผู้บริหารสถานศึกษา
๔. สถานศึกษาต้องขออนุญาตเป็นการเฉพาะราย ผ่านต้นสังกัด โดยจะต้องปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสืออนุญาตเท่านั้น ภายใต้การควบคุมของผู้บริหารสถานศึกษา
๕.
ระยะเวลาการอนุญาตครั้งละไม่เกิน ๒ ปี และต้องพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูต่อไป
๖.
หากผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครู โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ฝ่าฝืนจรรยาบรรณของวิชาชีพ หรือปฏิบัติการสอนผิดเงื่อนไข หรือไม่สามารถพัฒนาตนเองตามหลักเกณฑ์
เงื่อนไขการอนุญาต การอนุญาตดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุด
5. สมบัติ
เป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ประพฤติผิดกระทำทารุณกรรมต่อเด็กหรือเยาวชน
หากเราพิจารณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จะต้องทำอย่างไร และมีบทลงโทษอย่างไร
ตอบ สมบัติ เป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง
ได้ประพฤติผิดกระทำทารุณกรรมต่อเด็กหรือเยาวชน
หากเราพิจารณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในการทารุณกรรมในที่นี้
ไม่ว่าจะเป็นการทารุณกรรมทางด้านร่างกายหรือจิตใจก็ตาม
คนเป็นครูจะต้องไม่ประพฤติกับเด็กเช่นนี้ สมบัติเป็นครูที่แย่มาก ก็จะต้องได้รับโทษตามที่สถานศึกษากำหนด
และหากเด็กนักเรียนไม่ยอมก็อาจจะต้องมีการขึ้นศาลเพื่อสู้คดีกันต่อไป
และในทางกฎหมายอาญามาตรา 398 ที่ว่าผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ
อันเป็นการทารุณ ต่อเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี คนป่วยเจ็บหรือคนชรา ซึ่งต้องพึ่ง
ผู้นั้นในการดำรงชีพหรือการอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่ง
เดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
6. ช่วงที่นักศึกษาไปทดลองสอนที่โรงเรียนเทอม 2 และในเทอมต่อไป นักศึกษาเข้าไปทดลองสอนจริง
นักศึกษาคิดว่าจะนำกฎหมายการศึกษาไปใช้โดยกำหนดคนละ 2 ประเด็นที่คิดว่าจะนำกฎหมาย ไปใช้ได้
พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ
ประเด็นแรกที่จะต้องมีความรู้และนำไปใช้ได้คือ
ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
เพราะเราเปรียบเหมือนเป็นบุคลากรทางการศึกษา
ถึงเราจะไปอยู่ในสถานศึกษาในระยะเวลาอันสั้น แต่เราก็จะต้องทราบในระเบียบต่างๆ
ที่จะต้องปฏิบัติ อย่างเช่น ในกรณีที่เรามีเหตุจำเป็นที่จะต้องลาโรงเรียน
เราก็จะต้องทราบว่า ระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ เป็นอย่างไร
ประเด็นที่สองที่จะต้องมีความรู้และนำไปใช้คือ
ระเบียบการศึกษาที่ว่าด้วยการลงโทษนักเรียน เพราะ
เมื่อเราไปเป็นครูที่โรงเรียนนั้น หากเราพบเห็นนักเรียนที่กระทำความผิด
เราก็จะต้องลงโทษ ฉะนั้นเราควรที่จะมีความรู้ในระเบียบการศึกษาที่ว่าด้วยการลงโทษนักเรียน
ว่าเราควรจะลงโทษนักเรียนได้ในระดับไหน เพื่อที่จะไม่เป็นผลเสียต่อตัวเราและตัวนักเรียน
7. ให้นักศึกษาสะท้อนความคิดการใช้
เว็บบล็อก (weblog) ในการนำมาใช้จัดการเรียนการสอนวิชานี้
พอสังเขป
ตอบ
การใช้ เว็บบล็อก (weblog) ในการนำมาใช้จัดการเรียนการสอนเป็นสิ่งที่สะดวกในการเรียนการสอน
เพราะเราสามารถศึกษาและค้นคว้าได้ทุกที่ ที่มีอินเตอร์เน็ต สะดวกในการทำงานส่ง
ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการถ่ายเอกสาร เป็นการจัดการศึกษาที่ถือว่าอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เรียนและผู้สอนได้อย่างเต็มที่
และยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย ซึ่งในรายวิชานี้หากต้องใช้เอกสารในการประกอบการเรียนการสอนก็จะต้องมีเอกสารมากมาย
หากใช้เงินในการถ่ายเอกสารก็จะเยอะพอสมควร ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
เมื่อมีเว็บบล็อก (weblog) เราก็สามารถศึกษาเอสสารได้จากที่อาจารย์โพสใน
เว็บบล็อก (weblog) ของอาจารย์ได้เลย